เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ขยายการรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อการปฏิบัติงานและลดการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(ครูว์ 10 พฤศจิกายน 2564) ในขณะที่โลกกำลังเสวนาถึงอนาคตของการลดการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ในการประชุม COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ซึ่งเป็นแบรนด์ผู้ผลิตยนตรกรรมหรูรายแรกที่กำหนดเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านการเป็นกลางทางคาร์บอนแบบเต็มรูปแบบภายในปี 2573 ได้ยืนยันการรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอน ณ โรงงานฯ เมืองครูว์และระบบปฏิบัติการอีกครั้งตามข้อกำหนดของ PAS 2060 Carbon Neutral โดย Carbon Trust ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงแผนงานที่เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ใช้เพื่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากขั้นตอนการผลิต
นับตั้งแต่ได้รับการรับรองการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2562 เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งส่งผลให้การปรับลดการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงกว่า 81% ในช่วงเวลาเดียวกัน ด้วยการดำเนินงานเชิงมุ่งเน้นของพนักงานและผลกระทบของโรคระบาดที่ส่งผลต่อการลดลงของการเดินทางเพื่อธุรกิจ ดังนั้นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการดำเนินกิจกรรมของเบนท์ลีย์ มอเตอรส์จึงลดลงจาก 17,482 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2562 เป็น 3,341 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2563 แม้จะมีขอบเขตการวัดผลที่ครอบคลุมการเดินทางเพื่อธุรกิจทั้งหมดและสถานีดาวเทียมกว่า 3 แห่งในพื้นที่ก็ตาม
Peter Bosch กรรมการฝ่ายการผลิต เผยว่า “ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ได้ดำเนินการตามแนวทางของผู้ริเริ่มในการเป็นผู้ประกอบการที่ยั่งยืน โดยการสร้างโรงงานผลิตคุณภาพสูง มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ และมีศักยภาพในการผลิตสูง ณ เมืองครูว์ เรามุ่งมั่นที่จะลดการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และทีมงานของเราได้นำมาดำเนินการอย่างยอดเยี่ยมและต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบในแต่ละปี โดยเป้าหมายสูงสุดของเราคือการสร้างมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายในปี 2573
“เรามีพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนและตัวเลขล่าสุดครอบคลุมทุกธุรกิจ ซึ่งแสดงให้เห็นการลดลงของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อรถยนต์หนึ่งคันถึง 81% แม้ว่าเราได้ขยายขอบเขตของการวัดผลเพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานของเรามากขึ้น และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นและความคืบหน้าที่เรากำลังดำเนินการ”
การลงทุนระยะยาวและการวางแผนล่วงหน้าช่วยให้มั่นใจได้ว่าพลังงานไฟฟ้าและก๊าซที่เบนท์ลีย์ มอเตอร์สใช้นั้นสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ซึ่งผลิตขึ้นจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 7.7 เมกะวัตต์ ณ โรงงานฯ ในเมืองครูว์ หรือนำมาใช้โดยการรับประกันแหล่งกำเนิดพลังงานหมุนเวียนได้ 100% (ReGo) และการรับประกันแหล่งกำเนิดก๊าซหมุนเวียนได้ 100% (RGGO) ในขณะเดียวกัน การลงทุนในการสร้างหม้อไอน้ำขนาด 5.5 เมกะวัตต์รุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานทั้งสามตัวยังช่วยลดการใช้พลังงานลงอย่างมากและทำให้การใช้ก๊าซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ณ ปัจจุบัน พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงเชื้อเพลิงสำหรับใช้ในการดำเนินงานของโรงงานฯเท่านั้น ด้วยการติดตั้งสถานีชาร์จกว่า 130 จุดทั่วโรงงานฯ ซึ่งขณะนี้สามารถชาร์จรถยนต์รุ่นไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตตลอดระยะการวิจัยและพัฒนาได้ และยังช่วยขับเคลื่อนการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของพนักงาน ด้วยรถยนต์ไฮบริดซึ่งมีการปล่อยมลพิษที่เป็นศูนย์ โดยรวมอยู่ในโครงการรถยนต์ของบริษัทฯด้วย
สำหรับการขนส่งในพื้นที่ยังได้รับการพิจารณาด้วยการติดตั้งถังเชื้อเพลิงแบบหมุนเวียน 'Green D+' ขนาด 34,000 ลิตรที่โรงงานฯ เพื่อให้รถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ (HGV) ในพื้นที่ และพื้นที่อื่นๆที่ไม่มีระบบไฟฟ้าได้ใช้เชื้อเพลิงซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียของยานพาหนะขนส่งได้กว่า 86 % เมื่อเทียบกับน้ำมันดีเซลปกติ ซึ่งการใช้เชื้อเพลิงแบบธรรมดาของรถยนต์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็ยังคงได้รับการสนับสนุนโดย Verified Carbon Standard offsets (Verra)
ความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนให้เห็นการทำงานเกือบสองทศวรรษในการสร้างแหล่งประวัติศาสตร์ของเมืองครูว์ให้เป็นแหล่งพลังงานและเป็นกลางทางคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าบางส่วนของโรงงานฯจะก่อตั้งตั้งแต่ช่วงปี 2473 แต่ในปี 2542 เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ได้เป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมรายแรกของสหราชอาณาจักรที่ได้รับมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 และได้มีการปรับปรุงโรงงานฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดการปล่อยมลพิษอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์ Beyond100 กับพันธกิจการขับเคลื่อนแบรนด์สู่ความยั่งยืน
โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอรส์ ณ เมืองครูว์มีลานจอดรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ครอบคลุมพื้นที่จอดรถกว่า 1,378 คัน บนพื้นที่กว่า 16,426 ตร.ม. ซึ่งประกอบไปด้วยแผงโซลาร์เซลล์ จำนวนกว่า 10,000 แผง ขนาด 2.7 เมกกะวัตต์ และเมื่อรวมกับแผงโซลาร์เซลล์ จำนวน 20,815 แผงที่ติดตั้งกับหลังคาโรงงานฯ กำลังการผลิตพลังงานของแผงโซลาร์เซลล์จะรวมกันอยู่ที่ 7.7 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับจ่ายไฟให้กับบ้านเรือนกว่า 1,750 หลังคาเรือน
เบนท์ลีย์ มอเตอรส์กำลังเร่งผลักดันสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกโดยกำหนดไว้ภายในปี 2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Beyond100 ในปี 2564 เราได้เห็นการมาถึงของ Flying Spur Hybrid เคียงคู่กับ Bentayga Hybrid และเบนท์ลีย์ มอเตอรส์ตั้งเป้าที่จะใช้เครื่องยนต์ไฮบริดกับทุกรุ่นภายในปี 2567
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สิทธิพิเศษ และโปรโมชัน ติดต่อ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด โทร. 02-261-1050 หรือ LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V
เกี่ยวกับเบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด
เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าเบนท์ลีย์ทุกท่านและรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกคัน ด้วยทีมวิศวกรที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูงนานกว่า 30 ปี โดย เอเอเอสฯ ได้จัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อจัดส่งวิศวกรไปฝึกอบรมที่โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ประเทศอังกฤษ ทุกปี ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกท่านตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอสฯ ดูแลทั้งรถและคุณ (AAS Looking after YOU and your CAR)" และให้ชื่อ AAS เป็น “The Name you can Trust” มานานกว่า 30 ปี
นับตั้งแต่ได้รับการรับรองการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2562 เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งส่งผลให้การปรับลดการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงกว่า 81% ในช่วงเวลาเดียวกัน ด้วยการดำเนินงานเชิงมุ่งเน้นของพนักงานและผลกระทบของโรคระบาดที่ส่งผลต่อการลดลงของการเดินทางเพื่อธุรกิจ ดังนั้นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการดำเนินกิจกรรมของเบนท์ลีย์ มอเตอรส์จึงลดลงจาก 17,482 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2562 เป็น 3,341 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2563 แม้จะมีขอบเขตการวัดผลที่ครอบคลุมการเดินทางเพื่อธุรกิจทั้งหมดและสถานีดาวเทียมกว่า 3 แห่งในพื้นที่ก็ตาม
Peter Bosch กรรมการฝ่ายการผลิต เผยว่า “ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ได้ดำเนินการตามแนวทางของผู้ริเริ่มในการเป็นผู้ประกอบการที่ยั่งยืน โดยการสร้างโรงงานผลิตคุณภาพสูง มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ และมีศักยภาพในการผลิตสูง ณ เมืองครูว์ เรามุ่งมั่นที่จะลดการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และทีมงานของเราได้นำมาดำเนินการอย่างยอดเยี่ยมและต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบในแต่ละปี โดยเป้าหมายสูงสุดของเราคือการสร้างมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายในปี 2573
“เรามีพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนและตัวเลขล่าสุดครอบคลุมทุกธุรกิจ ซึ่งแสดงให้เห็นการลดลงของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อรถยนต์หนึ่งคันถึง 81% แม้ว่าเราได้ขยายขอบเขตของการวัดผลเพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานของเรามากขึ้น และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นและความคืบหน้าที่เรากำลังดำเนินการ”
การลงทุนระยะยาวและการวางแผนล่วงหน้าช่วยให้มั่นใจได้ว่าพลังงานไฟฟ้าและก๊าซที่เบนท์ลีย์ มอเตอร์สใช้นั้นสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ซึ่งผลิตขึ้นจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 7.7 เมกะวัตต์ ณ โรงงานฯ ในเมืองครูว์ หรือนำมาใช้โดยการรับประกันแหล่งกำเนิดพลังงานหมุนเวียนได้ 100% (ReGo) และการรับประกันแหล่งกำเนิดก๊าซหมุนเวียนได้ 100% (RGGO) ในขณะเดียวกัน การลงทุนในการสร้างหม้อไอน้ำขนาด 5.5 เมกะวัตต์รุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานทั้งสามตัวยังช่วยลดการใช้พลังงานลงอย่างมากและทำให้การใช้ก๊าซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ณ ปัจจุบัน พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงเชื้อเพลิงสำหรับใช้ในการดำเนินงานของโรงงานฯเท่านั้น ด้วยการติดตั้งสถานีชาร์จกว่า 130 จุดทั่วโรงงานฯ ซึ่งขณะนี้สามารถชาร์จรถยนต์รุ่นไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตตลอดระยะการวิจัยและพัฒนาได้ และยังช่วยขับเคลื่อนการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของพนักงาน ด้วยรถยนต์ไฮบริดซึ่งมีการปล่อยมลพิษที่เป็นศูนย์ โดยรวมอยู่ในโครงการรถยนต์ของบริษัทฯด้วย
สำหรับการขนส่งในพื้นที่ยังได้รับการพิจารณาด้วยการติดตั้งถังเชื้อเพลิงแบบหมุนเวียน 'Green D+' ขนาด 34,000 ลิตรที่โรงงานฯ เพื่อให้รถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ (HGV) ในพื้นที่ และพื้นที่อื่นๆที่ไม่มีระบบไฟฟ้าได้ใช้เชื้อเพลิงซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียของยานพาหนะขนส่งได้กว่า 86 % เมื่อเทียบกับน้ำมันดีเซลปกติ ซึ่งการใช้เชื้อเพลิงแบบธรรมดาของรถยนต์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็ยังคงได้รับการสนับสนุนโดย Verified Carbon Standard offsets (Verra)
ความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนให้เห็นการทำงานเกือบสองทศวรรษในการสร้างแหล่งประวัติศาสตร์ของเมืองครูว์ให้เป็นแหล่งพลังงานและเป็นกลางทางคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าบางส่วนของโรงงานฯจะก่อตั้งตั้งแต่ช่วงปี 2473 แต่ในปี 2542 เบนท์ลีย์ มอเตอรส์ได้เป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมรายแรกของสหราชอาณาจักรที่ได้รับมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 และได้มีการปรับปรุงโรงงานฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดการปล่อยมลพิษอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์ Beyond100 กับพันธกิจการขับเคลื่อนแบรนด์สู่ความยั่งยืน
โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอรส์ ณ เมืองครูว์มีลานจอดรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ครอบคลุมพื้นที่จอดรถกว่า 1,378 คัน บนพื้นที่กว่า 16,426 ตร.ม. ซึ่งประกอบไปด้วยแผงโซลาร์เซลล์ จำนวนกว่า 10,000 แผง ขนาด 2.7 เมกกะวัตต์ และเมื่อรวมกับแผงโซลาร์เซลล์ จำนวน 20,815 แผงที่ติดตั้งกับหลังคาโรงงานฯ กำลังการผลิตพลังงานของแผงโซลาร์เซลล์จะรวมกันอยู่ที่ 7.7 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับจ่ายไฟให้กับบ้านเรือนกว่า 1,750 หลังคาเรือน
เบนท์ลีย์ มอเตอรส์กำลังเร่งผลักดันสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกโดยกำหนดไว้ภายในปี 2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Beyond100 ในปี 2564 เราได้เห็นการมาถึงของ Flying Spur Hybrid เคียงคู่กับ Bentayga Hybrid และเบนท์ลีย์ มอเตอรส์ตั้งเป้าที่จะใช้เครื่องยนต์ไฮบริดกับทุกรุ่นภายในปี 2567
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สิทธิพิเศษ และโปรโมชัน ติดต่อ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด โทร. 02-261-1050 หรือ LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V
เกี่ยวกับเบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด
เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าเบนท์ลีย์ทุกท่านและรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกคัน ด้วยทีมวิศวกรที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูงนานกว่า 30 ปี โดย เอเอเอสฯ ได้จัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อจัดส่งวิศวกรไปฝึกอบรมที่โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ประเทศอังกฤษ ทุกปี ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์ทุกท่านตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอสฯ ดูแลทั้งรถและคุณ (AAS Looking after YOU and your CAR)" และให้ชื่อ AAS เป็น “The Name you can Trust” มานานกว่า 30 ปี